การปลูกต้นพุด

เสริมความสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุดไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองผู้ปลูกควรเป็นสุภาพบุรุษ เพราะพุดเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับสุภาพบุรุษ

วิธีการปลูก ส่วน ใหญ่นิยมปลูกต้นพุดในแปลงปลูก เพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ขนาดหลุมปลูก 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 2 ผสมดินปลูก และควรปลูกให้มีระยะห่างที่พอเหมาะ เพราะต้นพุดเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มใหญ่

การดูแลรักษา ต้นพุด ต้องการแสงแดดจัด และควรรดน้ำอย่างน้อย 5-7 วัน/ครั้ง ควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2 -.3 กิโลกรัม / ต้น ควรใส่อย่างน้อยปีละ 2 - 3 ครั้ง หรือใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 200-300 กรัม/ต้น ควรใส่ปีละ 3-4 ครั้ง

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=50467

ระเบียง ชาน และไม้ที่อยู่กลางแจ้ง

การป้องกัน : ควรเลือกใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้สัก ไม้แดง หรือไม้เต็ง เพราะมีความแข็งแกร่ง แมลงกินไม้ไม่ค่อยชอบ และควรทาสีย้อมไม้ เพื่อช่วยลดการดูดซับและสูญเสียความชื้นในเนื้อไม้ ซึ่งในตลาดตอนนี้มีแบบที่ผสมน้ำยากันปลวกด้วย แม้มีสีสันไม่มากเท่าสีย้อมไม้ทั่วไป แต่ทนทานกว่าพอลิยูรีเทน ควรตีเว้นร่องพื้นระเบียงห่างกันเล็กน้อย เพื่อให้น้ำไหลลงด้านล่างได้สะดวก

การดูแลรักษา : ไม้กลางแจ้งต่าง ๆ จะต้องมีการขัดผิวและทาด้วยสีย้อมพื้นระแนงไม้ หรือสีย้อมไม้สำหรับไม้นอกบ้าน ทุก 3 ปี เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=494&contentID=49627

ป้องกันกำจัดหนู

วิธีป้องกันกำจัดหนูที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ว่า เกษตรกรควรปรับปรุงสภาพแวดล้อมไม่ให้เหมาะสมเป็นที่อยู่อาศัยของหนู ได้แก่ 1.ปรับคันนาให้เล็กเพียงพอที่กักเก็บน้ำ กำจัดวัชพืชเพื่อไม่ให้เหมาะสมเป็นที่อยู่อาศัย และแหล่งหลบซ่อนจากศัตรูธรรมชาติ 2.ดักจับโดยใช้กับดักหรือกรง โดยดักบริเวณทางเดินหรือแหล่งที่อยู่ของหนู 3.การขุดหนูสามารถกำจัดได้ทั้งรัง 4.การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ เช่น งูชนิดต่างๆ พังพอน นกฮูก ฯลฯ สัตว์เหล่านี้จะจับหนูกินเป็นอาหาร 5.การใช้สารเคมีป้องกันกำจัด แต่ควรเป็นวิธีสุดท้าย

ทีี่มา http://www.thairath.co.th/content/edu/66249

ประตูหน้าต่าง โครงสร้างไม้นอกบ้าน

ประตูหน้าต่าง โครงสร้างไม้นอกบ้าน

การป้องกัน : ปกป้องผิวไม้จากความชื้นและแสงแดดด้วยการทาสีน้ำมัน สีน้ำพลาสติก สำหรับงานไม้โดยเฉพาะ หรือใช้สีย้อมไม้ ซึ่งทาแล้วซึมเข้าเนื้อไม้ จึงโปร่งแสงเห็นลายไม้ สีเหล่านี้จะมีความทนทานต่อน้ำและแสงแดดมากกว่าน้ำยาเคลือบผิวชนิดที่เป็น ฟิล์มใส เช่น พอลิยูรีเทนหรือแล็กเกอร์ แนะนำให้ป้องกันปลวกและมอดด้วยการใช้น้ำยาป้องกันแมลงกินไม้ ทาให้ทั่วก่อนจะทาสี

การดูแลรักษา : ไม้นอกบ้าน แม้จะอยู่ในที่ร่มก็ยังต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การหด บิด และโก่งตัวเป็นเรื่องปกติ สามารถแก้ไขได้โดยขัดสีที่เสียหายออกให้ถึงเนื้อไม้ และไสผิวให้เรียบก่อนลงสีใหม่

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=494&contentID=49627

สีกระเบื้องหลังคาลอก

สีกระเบื้องหลังคาลอก เกิดได้กับกระเบื้องมุงหลังคาบางชนิด บางยี่ห้อ และบางรุ่น ซึ่งมีวิธีแก้ไขดังนี้ คือ ให้เปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาใหม่ทั้งผืน
นอกจากนี้ การทาสีกระเบื้องหลังคาใหม่ ก็สามารถช่วยได้ โดยให้เลือกใช้สีพิเศษสำหรับทากระเบื้องโดยเฉพาะ ทาทับลง แต่วิธีนี้ควรใช้กับการเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาที่ทำได้ยากจริงๆ

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=49280

แพ้หมา

วิธีลดโอกาสเกิดการแพ้ต่อหมาที่เลี้ยงไว้ร่วมชายคาลง ดังนี้

-เลี้ยงหมาไว้นอกตัวบ้าน (แต่ยังอยู่ในเขตรั้วนะครับ มิใช่อัปเปหิออกไปนอกบริเวณบ้าน)
-ไม่เลี้ยงหรือให้หมาเข้าไปในห้องนอน
-ให้สมาชิกในบ้านที่ไม่แพ้(ขน)หมา เป็นผู้แปรงขนให้หมาโดยกระทำนอกตัวบ้าน
-ต้องอาบน้ำหมาอย่างสม่ำเสมอโดยผู้ไม่แพ้(ขน)หมาเช่นกัน
-ใช้พลาสติกคลุมเบาะหรือพรมที่หมาสัมผัสบ่อยๆ
-กำจัดและป้องกันไรฝุ่นซึ่งมันชอบอาศัยขี้รังแคของหมาเป็นอาหาร หากหมาไร้รังแค ไรฝุ่นก็จะขาดอาหารไปด้วย
-จัดที่หลับที่นอนให้หมาเป็นที่เป็นทางโดยมีผ้าปูประจำตัว ซึ่งต้องให้สมาชิกในบ้านนำไปทำความสะอาดและตากแดดทุกวัน
-หลีก เลี่ยงการปูพรมบนพื้นบ้าน เพราะเป็นแหล่งสะสมเศษขนและผิวหนัง ซึ่งทำให้แพ้ได้ง่าย จึงควรใช้พื้นไม้ขัดมัน หินขัด กระเบื้องยาง หรือหินอ่อน ฯลฯ (ก็สุดแท้แต่ปัจจัยทางการเงินนะครับ)
-หากในบ้านมีการปูพรมบนพื้นอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว (ตามข้อ 8) ต้องไม่ให้หมาไปอยู่ในบริเวณที่มีพรม
-หมาที่มีปัญหาโรคผิวหนัง เช่น คัน หรือขนร่วง ฯลฯ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม จะได้ไม่เป็นแหล่งปล่อยสารก่อภูมิแพ้แก่คุณ

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20100124/45714/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2.html

บำรุงเส้นผมแห้งเสีย

วิธีทำ คือ เตรียมน้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และไข่ไก่ 1 ฟอง นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ภาชนะ คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นล้างผมด้วยน้ำสะอาด แล้วนำครีมมาชโลมให้ทั่วเส้นผม นวดเบาๆ และใช้ผ้าขนหนูคลุมผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วสระผมตามปกติ แนะว่าควรทำเป็นประจำทุกสัปดาห์

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=48682

ขจัดคราบเลือดเปื้อนเสื้อผ้า

เมื่อเสื้อผ้าเปื้อนคราบเลือด ควรจะรีบนำไปแช่น้ำกับผงซักฟอก แต่หากคราบเลือดนั้นไม่ใช่คราบเลือดสด ให้นำเสื้อที่เปื้อนเลือดไปชุบน้ำเย็น หลังจากนั้นเอาเกลือโรยตรงบริเวณคราบเลือดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาซักด้วยน้ำสบู่อีกที หรือใช้ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์หยดบนรอยเปื้อน ซึ่งจะทำให้เกิดฟอง เมื่อหมดฟองใช้มือปัดให้แห้ง แล้วจึงนำไปซักตามปกติ

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=47718

รับประทานพริกรักษาโรค

-ช่วยขับเสมหะ ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง โดยสังเกตได้จากคนที่รับประทานพริกเข้าไป จะมีอาการน้ำตา น้ำมูกไหล

-ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดอาการอุดตันของเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจตีบ

-ช่วยกระตุ้นสมองส่วนกลางให้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน ทำให้เกิดการผ่อนคลายและยังช่วยให้ความดันโลหิตลดลง

-ช่วยกระตุ้นให้อยากอาหาร เนื่องจากพริกจะไปทำให้ต่อมน้ำลายทำงานมากขึ้น จนไปกระตุ้นปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรู้การอยากอาหาร

แต่หากรับประทานพริกมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้นควรรับประทานแต่พอดี.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=46990

ทำความสะอาดวอลล์เปเปอร์

คราบสกปรกที่เกิดจากการขูด ขีด ให้ใช้เครื่องเป่าผมโดยใช้ลมร้อนจี้ตรงบริเวณที่มีรอยดินสอ หรือ สีเทียนติดอยู่ จากนั้นหาผ้าสะอาดชุบน้ำสบู่บิดให้หมาด แล้วนำมาเช็ดถูตรงรอยเปื้อน รอยนั้นก็จะค่อยๆจางหายไป

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=46376