หากลองสังเกตจากเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวต่าง ๆ ที่มาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะมี ‘มะเขือเทศ’ เป็นส่วนผสมหลัก นั่นเพราะ ในมะเขือเทศอุดมไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินเอ ซี อี และกรด AHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป เผยผิวกระจ่างใสมาทดแทน
วิธีหนึ่งที่นิยมกันมากคือ การพอกหน้าด้วยมะเขือเทศ
วิธีการง่ายมาก เพียงนำมะเขือเทศฝานออกเป็นชิ้นหนา ๆ ขนาดพอมือ
แล้วนำมาถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบา ๆ อาจเน้นบริเวณที่มีสิวเสี้ยนมากหน่อย
เช่น จมูกและคาง ประมาณ 5-10 นาที แล้วพักหน้าไว้ประมาณ 5 นาที
ค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นซับหน้าให้แห้ง
จะสัมผัสได้ถึงความกระจ่างใสของผิวหน้า
http://www.dailynews.co.th/article/822/205224
soibanroi
เกล็ดความรู็้ (อัพเดตทุกวันพุธ)
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
การเพิ่มสมาธิด้วยตัวเอง
1. ระบายความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนอ่านหนังสือหรือทำงาน ควรหยุดนึกถึงสิ่งอื่นต่างๆ โดยการระบายความกังวลใจให้พ่อแม่หรือเพื่อนฟัง จะได้รู้สึกดีขึ้น แล้วความฟุ้งซ่านจะลดลง
2. จัดการสิ่งรบกวน โดยการหามุมสงบ เพื่อสะสางสิ่งต่างๆ อย่างเช่น งานที่ทำค้างหรือการอ่านหนังสือเตรียมสอบ
3. หาวิธีผ่อนคลาย เมื่อนั่งอ่านหนังสือหรือทำงานสักพัก ควรผ่อนคลายโดยการลุกเดิน หาเครื่องดื่มอุ่นๆ หรือฟังเพลงสบายๆที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายประมาณ 5-10 นาที
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=75497
2. จัดการสิ่งรบกวน โดยการหามุมสงบ เพื่อสะสางสิ่งต่างๆ อย่างเช่น งานที่ทำค้างหรือการอ่านหนังสือเตรียมสอบ
3. หาวิธีผ่อนคลาย เมื่อนั่งอ่านหนังสือหรือทำงานสักพัก ควรผ่อนคลายโดยการลุกเดิน หาเครื่องดื่มอุ่นๆ หรือฟังเพลงสบายๆที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายประมาณ 5-10 นาที
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=75497
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553
หมักผักทำกิมจิ
หมักผักทำกิมจิ
1.นำผักกาดขาว ต้นหอม ลวกน้ำร้อนจนผักนุ่มจึงบีบน้ำออกให้หมด
2.ใส่เกลือป่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู ลงในผัก แล้วใช้มือขยำแรงๆ ให้ผักน่วมจนเครื่องปรุงต่างๆ ซึมเข้าไปในเนื้อผัก
3.คลี่ผักกาดขาวทีละใบ แล้วโรยพริกป่นเกาหลีแทรกระหว่างชั้นผัก จึงขยำแรงๆ อีกครั้ง หมักผักทิ้งไว้ในตู้เย็น 3 วัน จะได้กิมจิผักนุ่ม เผ็ดอร่อยไม่เค็มจัด
ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20100403/54541/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4.html
1.นำผักกาดขาว ต้นหอม ลวกน้ำร้อนจนผักนุ่มจึงบีบน้ำออกให้หมด
2.ใส่เกลือป่น น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู ลงในผัก แล้วใช้มือขยำแรงๆ ให้ผักน่วมจนเครื่องปรุงต่างๆ ซึมเข้าไปในเนื้อผัก
3.คลี่ผักกาดขาวทีละใบ แล้วโรยพริกป่นเกาหลีแทรกระหว่างชั้นผัก จึงขยำแรงๆ อีกครั้ง หมักผักทิ้งไว้ในตู้เย็น 3 วัน จะได้กิมจิผักนุ่ม เผ็ดอร่อยไม่เค็มจัด
ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20100403/54541/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B4.html
วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553
12 เทคนิค .. กันสมองเหี่ยว
เรื่องของการปลุกระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด
กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไปอย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ
1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก
แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่า กันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร
2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย
3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี
4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน
7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ
8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข
9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง
10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง
11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ
12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!
ที่มา มาจาก Forward mail
กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไปอย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ
1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก
แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่า กันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร
2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย
3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี
4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต
6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน
7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ
8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข
9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง
10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง
11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ
12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!
ที่มา มาจาก Forward mail
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
การลดน้ำหนัก
-บริโภคข้าวหรือแป้งได้ตามปกติ แต่ควรลดปริมาณลงจากเดิม 1 ใน 3 ส่วน
-ให้บริโภคเนื้อปลา ไข่ขาว เต้าหู้และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกวัน
-หลีกเลี่ยงอาหารทอดหรือผัด ให้เปลี่ยนมาเลือกอาหารที่เตรียมโดยการต้ม นึ่ง ย่าง แทน
-หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ครีมเทียม แนะนำให้บริโภคน้ำมันจากรำข้าว ถั่วเหลือง และเมล็ดทานตะวัน
-ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว หากดื่มนมไม่ได้ให้ดื่มนมถั่วเหลืองแทน
-งดการบริโภคน้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่หวานจัด เหล้า เบียร์ และไวน์
- งดรับประทานอาหารระหว่างมื้อ
- ลดการบริโภคเกลือ อาหารหมักดอง อาหารเค็ม
-ควรออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=55085
-ให้บริโภคเนื้อปลา ไข่ขาว เต้าหู้และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกวัน
-หลีกเลี่ยงอาหารทอดหรือผัด ให้เปลี่ยนมาเลือกอาหารที่เตรียมโดยการต้ม นึ่ง ย่าง แทน
-หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ครีมเทียม แนะนำให้บริโภคน้ำมันจากรำข้าว ถั่วเหลือง และเมล็ดทานตะวัน
-ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว หากดื่มนมไม่ได้ให้ดื่มนมถั่วเหลืองแทน
-งดการบริโภคน้ำหวาน น้ำอัดลม น้ำผลไม้ที่หวานจัด เหล้า เบียร์ และไวน์
- งดรับประทานอาหารระหว่างมื้อ
- ลดการบริโภคเกลือ อาหารหมักดอง อาหารเค็ม
-ควรออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=424&contentID=55085
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553
การเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกเร็วขึ้น
วันนี้จะเป็นเกล็ดความรู้เรื่องการเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกเร็วขึ้น ต่อจากเรื่อง เก็บเมล็ดพันธุ์มะละกอไว้ปลูกเอง
มีวิธีการง่ายๆคือ
1. เอาเมล็ดมะละกอแช่น้ำไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง
2. จากนั้นให้เอาแช่ในน้ำอุ่น(ไม่ใช้น้ำร้อนนะ)แช่ไว้ 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด
ที่มา เขียนเอง
มีวิธีการง่ายๆคือ
1. เอาเมล็ดมะละกอแช่น้ำไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง
2. จากนั้นให้เอาแช่ในน้ำอุ่น(ไม่ใช้น้ำร้อนนะ)แช่ไว้ 1 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด
ที่มา เขียนเอง
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553
เก็บเมล็ดพันธุ์มะละกอไว้ปลูกเอง
เทคนิคเก็บเมล็ดพันธุ์มะละกอไว้ปลูกเอง
1 เลือกต้นพันธุ์ที่ดีที่สุด
2. เอากระดาษไปครอบดอกที่ยังตูมอยู่รอให้มันผสมพันธุ์เสร็จแล้วเป็นลูกเล็กๆแล้วเอาออก
3. เมื่อมะละกอสูกแล้วให้เก็บเมล็ดพันธุ์มาแล้วให้ล้างเอาเมืิอกออกแล้วผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามโดนแดดเด็ตขาด)
4. เก็บเมล็ดพันธุ์มะละกอใส่ภาชนะปิดสนิทเก็บไว้ในตู้เย็น จะเก็บได้นานประมาณ 1 ปี
ที่มา เขียนเอง
บทความต่อไปเป็นเรื่องการเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกเร็วขึ้น
1 เลือกต้นพันธุ์ที่ดีที่สุด
2. เอากระดาษไปครอบดอกที่ยังตูมอยู่รอให้มันผสมพันธุ์เสร็จแล้วเป็นลูกเล็กๆแล้วเอาออก
3. เมื่อมะละกอสูกแล้วให้เก็บเมล็ดพันธุ์มาแล้วให้ล้างเอาเมืิอกออกแล้วผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามโดนแดดเด็ตขาด)
4. เก็บเมล็ดพันธุ์มะละกอใส่ภาชนะปิดสนิทเก็บไว้ในตู้เย็น จะเก็บได้นานประมาณ 1 ปี
ที่มา เขียนเอง
บทความต่อไปเป็นเรื่องการเพาะเมล็ดมะละกอให้งอกเร็วขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)